วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร เป็นอีกหนึ่งวัดสวย ชื่อดังของจังหวัดสมุทรสาครที่ใครหลายๆ คนก็ต้องรู้จัก แต่อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ใหม่ที่หลายคนอาจยังไม่เคยได้เห็น หลวงพ่อโตมหายาน เป็นองค์ใหม่ที่สร้างอยู่ในถ้ำจำลองสวยๆ บอกได้เลยว่าต้องมาชมกับตาให้ได้
จอร์เจียเมืองท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่ใครหลายคนอยากไปสัมผัส เป็นอีกหนึ่งการเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ใฝ่ฝัน และอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดกับ Russia-Georgia Friendship Monument อนุสาวรีย์มิตรภาพรัสเซีย-จอร์เจีย
สมุทรสงคราม เมืองท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และอีกหนึ่งอย่างที่เรียกว่าเป็นอันซีนของเมืองก็คือ วัดบางกุ้ง วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่
Pindaya Cave Myanmar มีพระพุทธรูปกว่าพันองค์
Santorini เกาะแห่งความฝัน
Embera quera ชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในป่าลึกของประเทศปานามา มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใคร
The First Ultimate สัปดาห์นี้ พาทุกคนมาย้อนรอยความสนุกกับทริปฉงชิ่ง ต้อนรับการเปิดประเทศจีน กับน็อต ธีร์
The First Ultimate สัปดาห์นี้ พาทุกคนมาย้อนรอยความสนุกกับทริปฉงชิ่ง ต้อนรับการเปิดประเทศจีน กับน็อต ธีร์
The First Ultimate สัปดาห์นี้ พาทุกคนมาย้อนรอยความสนุกกับทริปฉงชิ่ง ต้อนรับการเปิดประเทศจีน กับน็อต ธีร์
เดินทาง 23-26 สิงหาคม 2566 บินสายการบิน Thai Airways ติดต่อสอบถาม และขอโปรแกรม โทร. 06-5879-3936 หรือ Line@ : @TFU1 (มี@)
เดินทาง 6-11 กรกฎาคม 2566 บินสายการบิน Thai Airways ติดต่อสอบถาม และขอโปรแกรม โทร. 06-5879-3936 หรือ Line@ : @TFU1 (มี@)
เดินทาง 15-19 มิถุนายน 2566 บินสายการบิน Air Asia ติดต่อสอบถาม และขอโปรแกรม โทร. 06-5879-3936 หรือ Line@ : @TFU1 (มี@)
8 จุดเช็คอิน เที่ยวฟินในดาลัด
ดาลัด ปารีสตะวันออก เมืองแห่งดอกไม้และสายลมหนาว เมืองเล็กๆตั้งอยู่บนที่ราบสูงทางภาคใต้ของเวียดนาม ในจังหวัดเลิมด่ง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร (4,900 ฟุต) มีอุณหภูมิเฉลี่ย 18 ถึง 25 องศาเซลเซียส ทำให้มีอากาศหนาวเย็นสบายตลอดทั้งปี ฝรั่งเศสจึงมาสร้างบ้านพักตากอากาศ ทำให้ดาลัด มีความแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ของเวียดนาม รูปแบบบ้านเมืองคล้ายกับตะวันตกมากว่ากว่าตะวันออก มีโบสถ์คริสต์มากมาย เต็มไปด้วยศิลปะวัฒนธรรม จึงทำให้เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวมาเยือนกันในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก
เมืองดาลัด ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา ปกคลุมไปด้วยทิวสน ทะเลสาบ จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกมากมาย
---------------------------------------------
1. Xuan Huong Lake ทะเลสาบซวนฮวาง
อยู่บริเวณใจกลางเมืองดาลัด ในยุคอาณานิคมแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของสนามกอล์ฟที่สวยงามมากที่สุดของเวียดนาม มีวิวทิวทัศน์ของต้นสนรอบทิศ และชมพระอาทิตย์ตกริมทะเลสาบ กับบรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติก
พิกัด : https://goo.gl/maps/93hqKTcL8C2WWA1a6
---------------------------------------------
2. Domaine de Marie โบสถ์โดเมนเดมารี
โบสถ์โรมันคาทอลิก รูปทรงอาคารสวยงาม และโดดเด่นด้วยสีชมพู สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1930 ตั้งเเต่ในสมัยที่ฝรั่งเศสยังปกครองเวียดนามในฐานะอาณานิคม ผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมเเบบฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 17 กับรูปเเบบของอาคารพื้นบ้านในเวียดนาม
พิกัด : https://goo.gl/maps/GRErZ37JFmAXNqR17
---------------------------------------------
3. Valley Of Love หุบเขาแห่งความรัก
สถานที่แห่งความโรแมนติก อยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบซวนฮวางประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นหุบเขาซึ่งมีทะเลสาบอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆปกคลุมด้วยไม้สน และสถาปัตยกรรมของรูปปั้นในสวน ท่ามกลางดอกไม้หลากสีสีน
พิกัด : https://goo.gl/maps/2XpLWkbzQ7z6SPaN6
---------------------------------------------
4. Flower Park สวนดอกไม้เมืองหนาว
ดาลัดได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งดอกไม้ จึงมีดอกไม้บานสะพรั่งตลอดปี และได้มีการรวมรวบพรรณไม้มากมาย ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ต้น หลากสีสันตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของดอกไม้
พิกัด : https://goo.gl/maps/ALNNHAQBpTzcU5rc8
---------------------------------------------
5. Dalat Train Station สถานีรถไฟดาลัด
เป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนามและอินโดจีน ในอดีตเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างเมืองไซง่อน กับดาลัดในช่วงสงครามเวียดนาม แต่ได้รับความเสียหายจึงปิดให้บริการไป ปัจจุบันได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปกับรถไฟเครื่องจักรไอน้ำ และมีคาเฟ่เล็กๆอีกด้วย
พิกัด : https://goo.gl/maps/kNfc44EZL4WUwKNe9
---------------------------------------------
6. Dalat Cathedral โบสถ์กุ๊กไก่
โบสถ์ใหญ่ที่สุดประจำเมืองดาลัด ที่คนนิยมเรียกกันว่าโบสถ์กุ๊กไก่ เพราะมีรูปปั้นไก่ยืนอยู่บนยอดไม้กางเขนด้านบนสุด ซึ่งไก่เป็นสัญลักษณ์ของฝรั่งเศส มีความสวยงามสูงเด่นสง่า หน้าต่างเป็นกระจกสีสั่งตรงจากฝรั่งเศส ส่วนด้านนอกทาสีชมพูอ่อนๆ มีรูปปั้นพระแม่มารีอยู่ด้านข้าง
พิกัด : https://goo.gl/maps/sxvW7GiayPJh1yuP9
---------------------------------------------
7. Crazy house
บ้านรูปทรงสุดประหลาด ออกแบบโดย สถาปัตยกร ฮังเวียนหงา ลูกสาวของประธานาธิบดีคนที่ 2 ของเวียดนาม ที่ได้แรงบันดาลใจจากนิทานเรื่อง Alice in Wonderland มีลักษณะเป็นโพรงต้นไม้และอุโมงค์ เหมาะกับคนที่อยากได้มุมถ่ายรูปสวยๆ แปลกๆ ไม่ควรพลาด
พิกัด : https://goo.gl/maps/udKBDdTGSFf8Hj6p6
---------------------------------------------
8. Tuyen Lam Lake ทะเลสาบเตวียนลัม
อีกชื่อหนึ่งคือ ทะเลสาบพาราไดซ์ เป็นทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้น อยู่ในเขตทะเลสาบทูเยน บรรยากาศอันแสนรื่นรมย์ ในทำเลที่ตั้งอันโดดเด่นใจกลางธรรมชาติ มีพื้นที่กว้างใหญ่ ให้ได้พักผ่อนริมทะเลสาบแห่งนี้
พิกัด : https://goo.gl/maps/1kLSAxg6WXpQ3ReKA
---------------------------------------------
เมืองดาลัด ยังมีสถานที่เที่ยว และกิจกรรมอีกมากมาย อาทิเช่น นั่งกระเช้าไฟฟ้าชมเมืองดาลัด, วัดตั๊กลัม, นั่งรถรูทชมน้ำตกดาตันลา (Datanla Falls), ตลาดเช้าเมืองดาลัด, พระราชวังฤดูร้อนจักรพรรดิบ๋าวได๋, จตุรัสฮวาบิงห์, เจดีย์เทียนเวือง หรือ เจดีย์เดา
ถ้าใครอยากมาเที่ยวดาลัดนั้นไม่ยากเลย เพราะการเดินทางเราสามารถบินตรงจากสุวรรณภูมิ มายัง ดาลัด โดยใช้เวลาบินเพียง 1 ชั่วโมง 45 นาที ซึ่งสายการบินไทยเวียตเจ็ท เป็นสายการบินเดียวที่มีเส้นทางบินตรงจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) - ดาลัด โดยให้บริการเที่ยวบินตรงสู่ดาลัดทุกวัน
"เที่ยวเวียดนามต้องเวียตเจ็ท"
รูปภาพประกอบจาก
Tbilisi เมืองหลวงจอร์เจีย มีอะไรน่าไปเที่ยว?
ทบิลิซี (Tbilisi) เป็นเมืองหลวงของประเทศจอร์เจีย ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยแม่น้ำมิกวาริ (Mtkvari) และยังมีการรักษาเอกลักษณ์ต่างๆของเมืองเก่า มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 5 ควบคู่ไปกับการพัฒนาเมืองใหม่ให้ทันสมัยได้อย่างลงตัวซึ่งถ้าใครได้มเที่ยวจอร์เจีย ทบิลิซี ก็เป็นจุดหมายหลักในการเริ่มต้นค้นหามนต์เสน่ห์ของเมืองๆนี้ มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ตามไปกัน...
--------------------------------
1. LIBERTY SQUARE หรือ Freedom Square
เป็นวงเวียนที่มีชื่อเสียงของเมือง และเป็นศูนย์กลางของเมืองทบิลิซี่ สร้างขึ้นในสมัยสหภาพโซเวียต ซึ่งเชื่อมต่อกับถนน Rustaveli Avenu และเต็มไปด้วยตึกอาคาร ห้างสรรพสินค้าทันสมัยและใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของทบิลิซี
พิกัด : https://g.page/vip-translations?share
--------------------------------
2. THE BRIDGE OF PEACE
สะพานแห่งสันติภาพ งานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจใน เมืองทบิลิซี ตั้งนั้นอยู่บนแม่น้ำมตควารี เชื่อมระหว่างเขตเมืองเก่า และเมืองใหม่ ออกแบบโดย สถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน ชื่อ Michele De Lucchi ตัวสะพานมีความยาว 150 เมตร ประกอบด้วยโครงสร้างที่เป็นเหล็กและกระจกใส ประดับไฟ LED
พิกัด : https://goo.gl/maps/GLKyp9Y6ZxpBgrPU9
--------------------------------
3. REZO GABRIADZE THEATRE
หรือที่รู้จักกันในชื่อ Clock Tower หอนาฬิกาบิดเบี้ยว ที่เหมือนอยู่ในโลกเทพนิยาย เป็นที่ตั้งของจุดจำหน่ายตั๋วสำหรับโรงละครที่อยู่ด้านหลัง นั่นก็คือโรงละครเรโซ กาเบรียดเซ
พิกัด : https://goo.gl/maps/XC1K6osieFyu3U4c9
--------------------------------
4. MOTHER OF GEORGIA
อนุสาวรีย์พระแม่แห่งจอร์เจีย เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองทบิลิซี ตั้งอยู่ยอดเนินเขา Sololaki และสร้างในโอกาสเฉลิมฉลองการก่อตั้งกรุงทลิบิซีครบรอบ 1500 ปี มีความสูง 20 เมตร ทำด้วยอลูมิเนียม เป็นลักษณ์ของสตรีในชุดพื้นเมือง มือขวาถือดาบ มือซ้ายถือแก้วไวน์ ซึ่งหมายถึงผู้มาเยือนที่เป็นมิตร
พิกัด : https://goo.gl/maps/QBabGg3xr735LgQJA
--------------------------------
5. NARIKALA FORTRESS
ป้อมนาริกาลา เป็นป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้สำหรับปกป้องเมือง โดยชื่อ Nari-Kala เป็นภาษาเปอร์เซีย มีความหมายว่า “ป้อมที่ไม่สามารถตีแตกได้” สำหรับการขึ้นไปยังป้อมนั้นเราสามารถเดินขึ้น หรือจะนั่งกระเช้าขึ้นไปก็ได้
พิกัด : https://goo.gl/maps/HoWDyimRCyVMEkrn7
--------------------------------
6. ABANOTUBANI
โรงอาบน้ำ (Sulphur Bath) ด้วยความเมืองทบิลิซี มีบ่อน้ำพุร้อนเป็นจำนวนมาก และน้ำพุร้อนของที่นี่มีแร่ธาตุหลายชนิด จึงมีโรงอาบน้ำร้อนให้บริการสาธารณะหลายแห่ง และเปิดให้บริการมาเป็นระยะเวลานานจนถึงปัจจุบัน
พิกัด : https://goo.gl/maps/u7nstjQvrDNMz7fy6
--------------------------------
7. METEKHI CHURCH
โบสถ์เมเตคี ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่่มีความเก่าแก่ และความสวยงาม ในอดีตเคยใช้เป็นป้อมปราการ และที่พำนักของกษัตริย์ เมื่อขึ้นไปที่ตัวโบสถ์สามารถมองเห็นสถานที่เที่ยวต่างๆ รอบๆบริเวณนั้นได้อย่างชัดเจน และเป็นที่นิยมใช้เป็นจุดถ่ายรูปเมืองทบิลิซี
พิกัด : https://goo.gl/maps/vErbN7ijSC76gwj87
--------------------------------
8. HOLY TRINITY CATHEDRAL
โบสถ์ทรินิตี้แห่งเมืองทบิลิซี หรือ มหาวิหารซาเมบา (Sameba) เป็นโบสถ์ออร์โธด็อกซ์ที่มีความสวยงาม และใหญ่ที่สุด ของประเทศจอร์เจีย และยังเป็นโบสถ์ Eastern Orthodox ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
พิกัด : https://goo.gl/maps/hy5PpTSLyPRXr1Q2A
--------------------------------
9. TBILISI SEA
ทะเลสาบเทียม ในเมืองทบิลิซีที่ทำหน้าที่เป็นอ่างเก็บน้ำ มีความยาว 8.75 กิโลเมตรและกว้าง 2.85 กม. เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองทบิลิซี และนักท่องเที่ยว
พิกัด : https://goo.gl/maps/AHfbZjsqpCH2N2tg8
--------------------------------
10. THE CHRONICLE OF GEORGIA
อนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ อันมหึมาของจอร์เจีย ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากต้องแวะมาเห็นกับตา ตั้งอยู่บนภูเขาสูงใกล้กับ Tbilisi Sea เล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ของประเทศจอร์เจียผ่านเสาหินขนาดใหญ่จำนวน 16 ต้น แต่ละต้นมีขนาดใหญ่มากกว่า 10 คนโอบ และสูงถึง 35 เมตร
พิกัด : https://goo.gl/maps/SXVakMGVfieNNDDu7
และทั้งหมดนี้ เป็นเพียงบางส่วนที่เป็นไฮไลท์ สถานที่เที่ยวในเมืองทบิลิซี ที่มีความเก่าแก่ สวยงาม และเรื่องราวที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ และเดินถ่ายรูปชิลล์ๆในเมือง
--------------------------------
ภาพประกอบจาก
https://pixabay.com
https://commons.wikimedia.org
http://discoveringeorgia.com/
https://www.arrivalguides.com
https://georgiaabout.com
สถานที่ห้ามพลาดในฮานอย
5 สิ่งมหัศจรรย์ แห่งเสียมเรียบ
ออกเดินทางไปหาความมหัศจรรย์ ที่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ซึ่งที่ตั้งของ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก และอยู่ไม่ไกลจากตัวเรา เดินทางง่าย บินตรงเพียง 1 ชม.ก็ถึงแล้ว
1. ปราสาทบายน นครธม (Angkor Thom)
เมืองหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรเขมร มีปราสาทหินมากมาย สวยงามแปลกตา และโดดเด่นที่สุดนั่นก็คือ ปราสาทบายน ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก (อ่านเพิ่มเติม...)
พิกัด : https://goo.gl/maps/c35f23YvSqV5E1Z9A
เวลาเปิดทำการ : 7:30-17:30 น.
2. นครวัด (Angkor Wat)
สิ่งปลูกสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้ระยะเวลาสร้างร่วมนับร้อยปี มีความแตกต่างจากปราสาทเขมรหลังอื่น คือทิศประธานที่หันไปทางทิศตะวันตก จุดเด่นคือยอดปราสาท 5 ยอด เมื่อยามเย็น แสงแดดตกกระทบยอดปราสาท กับเงาที่ตกสะท้อนบนผิวน้ำ (อ่านเพิ่มเติม...)
พิกัด : https://goo.gl/maps/3Dac8JzYMYbmvqa18
เวลาเปิดทำการ : 7:30-17:30 น.
3. เกาะแกร์ (Koh Ker)
ราชธานีอันเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของอาณาจักรเขมรโบราณ ที่ตั้งกลุ่มปราสาทเก่าโบราณมากมาย สิ่งก่อสร้างสำคัญนั่นก็คือ พีระมิดเกาะแกร์ รอบข้างถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าใหญ่ และอีกหนึ่งความ Unseen ที่อยู่ภายในบริเวณเกาะแกร์ คือ ปราสาทปรัม (อ่านเพิ่มเติม...)
พิกัด : https://goo.gl/maps/PySZKfhvYHniaYrw9
เวลาเปิดทำการ : 7:30-17:30 น.
4. ปราสาทตาพรหม
หนึ่งในปราสาทโบราณที่มีเสน่ห์ของเมืองเสียมเรียบ จุดเด่นอยู่ตรงรากต้นสะปงขนาดมหึมา และไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมตัวปราสาท เคยถูกใช้เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำหนังฮอลลิวูดเรื่องดัง Lara Croft : Tomb Raider ที่นำแสดงโดย แองเจลิน่า โจลี (อ่านเพิ่มเติม...)
พิกัด : https://goo.gl/maps/k1ikzc6rzTN4VXtq8
เวลาเปิดทำการ : 7:30-17:30 น.
5. ปราสาทบันทายศรี
ปราสาทบันทายศรี กับความงดงามของการแกะสลักภาพนูนสูงที่มีความชัดเจน ด้วยลวดลายที่วิจิตรอ่อนช้อย ถือเป็นปราสาทหินที่งดงามที่สุดในประเทศกัมพูชา และเป็นปราสาทแห่งเดียวที่สร้างเสร็จแล้วกว่าหนึ่งพันปี (อ่านเพิ่มเติม...)
พิกัด : https://goo.gl/maps/9ZedJj7GcYa1PruU8
เวลาเปิดทำการ : 7:30-17:30 น.
ภาพประกอบโดย @K9ATW
สนใจโปรแกรมเที่ยว เสียมเรียบ โทร 0658793936สถานที่ห้ามพลาดในชินจูกุ
1. Kabukicho
2. Tokyo Metropolitan Government Building
พิกัด : https://goo.gl/maps/LCvbzVcUGZBcG8oc7
วันและเวลาทำการ : North Building 9:30 – 23:00 น. และ South Building 9:30 – 17:30 น ต้องขึ้นตึกก่อนเวลาปิด 30 นาที
รีวิว : หนึ่งในหมู่ตึกสูงย่าน Shinjuku ตัวตึกมีอยู่ 2 อาคาร ได้แก่ North Tower และ South Tower ที่เปิดให้ขึ้นไปชมวิวเป็นชั้น 45 ที่ระดับความสูง 202 เมตร สามารถมองเห็นวิวได้ของโตเกียวแบบ Panorama กว้างไปสุดสายตา
3. Mosaic Street
4. Shinjuku Central Park
พิกัด : https://goo.gl/maps/Fv1APA58dgEaWEts7
วันและเวลาทำการ : เปิดทุกวัน 24 ชม.
รีวิว : สวนสาธารณะธรรมชาติ ที่มีสนามฟุตซอล อาคารเอนกประสงค์ ศาลเจ้า ใจกลางชินจุกุ
5. Shinjuku Gyoen
พิกัด : https://goo.gl/maps/4EiQ5y29Howtb19S8
วันและเวลาทำการ : ทุกวันยกเว้นวันจันทร์ 9 โมงเช้าถึง บ่าย 4 โมงครึ่ง
รีวิว : สสวนสาธารณะใจกลางเมืองในย่านชินจูกุซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงโตเกียว และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการมาชมดอกซากุระบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
6. Tsunahachi Tempura
พิกัด : https://g.page/tempura_tsunahachi_souhonten?share
วันและเวลาทำการ : 11 โมงเช้า - 4 ทุ่มครึ่ง
รีวิว : ร้านเทมปุระสุดฮิตเป็นที่ชื่นชอบกันในหมู่วัยรุ่น คนทำงานและนักท่องเที่ยว ควรรีบไปตั้งแต่เปิดร้าน คนจะยังไม่แน่นมาก หากไปช้าอาจจะต้องยืนรอต่อคิว เพราะที่นี่มีเทมปุระอร่อยๆ ให้เลือกมากมายบรรจงทอดอย่างพิถีพิถัน
7. Science Bar Incubator
พิกัด : https://goo.gl/maps/UP7SnJJEYzPum3tg6
วันและเวลาทำการ : 6 โมงเย็น - ตี 2 ปิดวันอาทิตย์และจันทร์
รีวิว : ร้านที่ถูกตกแต่งด้วยอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ มีเสื้อกราวสีขาวที่ทางร้านแขวนไว้ให้บริการแขก มีเมนูให้มั้งอาหารและเครื่องดื่มเลือกละลานตาเลยทีเดียว ไม่ควรพลาด Tasting Set in Test Tubes เป็นหลอดแก้วที่มีไวน์ให้เลือกชิมหลากหลาย สามารถขอคำแนะนำจากบาร์เทนเดอร์ได้
8. Tokyo Toy Museum
9. Sushi Sashimi Higashi
พิกัด : https://g.page/higashishinjyuku-sushizanmai?share
วันและเวลาทำการ : ทุกวัน 10 โมงเช้า - 6 โมงเช้า
รีวิว : ศาลเจ้าสุดร่มรื่นที่รวบรวมต้นไม้ไว้มากกว่า 1 แสนต้น และเป็นศาลเจ้าที่คนนิยมมาขอพรให้ช่วงปีใหม่ ถ้าโชคดีอาจจะได้เจอกิจกรรมหรือพิธีแต่งงานที่จัดขึ้นในวัดแห่งนี้ด้วย
10. Akagi Cafe
สถานที่ห้ามพลาดในชิบูย่า
1. Akagaki
2. Shibuya Niku Yokocho
พิกัด : https://goo.gl/maps/KFhyYGm3fRvJ4irw7
วันและเวลาทำการ : วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 5 โมงเย็น - ตี 5, วันเสาร์ - อาทิตย์ 4 โมงเย็น - ตี 5
รีวิว : สวรรค์ของผู้ชื่นชอบสังสรรค์และรักการทานเนื้อ ด้วยร้านกว่า 26 ร้าน ตั้งเรียงรายอยู่บนชั้น 2 และ 3 ของอาคาร Chitosekaikan ตกแต่งไตล์ย้อนยุค อีกทั้งยังสามารถนำอาหารร้านอื่นมาทานในร้านที่ตัวเองนั่งได้ เมนูต่าง ๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานเนื้อโดยเฉพาะ ทั้งเนื้อย่าง เบอเกอร์เนื้อ ซูชิเนื้อ
3. Shibuya 109
4. Shibuya Crossing & Hachiko Memorial Statue
พิกัด : Shibuya Crossing https://goo.gl/maps/9Ue4hYGEiwkF2jcY6 และ Hachiko Memorial Statue https://goo.gl/maps/1HingpaghSEGZMQ1A
วันและเวลาทำการ : เปิดตลอด 24 ชม.
รีวิว : สถานที่สุดฮิตที่ใครไปถึงโตเกียวต้องแวะมาเดินข้าม 5 แยกหรือแวะถ่ายรูป ณ จุดนี้ และอนุสาวรีย์ของหมาฮาจิโกะ สัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ของหมาที่รอคอยเจ้าของจวบจนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ
5. Ebisu Yokocho
พิกัด : https://goo.gl/maps/vJp3WyyU9ostQ3AY9
วันและเวลาทำการ : ทุกวัน เวลา 5 โมงเย็น - ตี 5
รีวิว : ตรอกที่รวมร้านอิซากายะสไตล์ญี่ปุ่นและร้านอาหารสไตล์ตะวันตก ร้านซูชิ เนื้อย่าง โอเด้งชื่อดัง ถึงแม้ว่าแต่ละร้านจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่มีดนตรีสดบรรเลงระหว่างทานอาหาร ทดแทนกันได้แน่นอน
6. Konno Hachimangu Shrine
พิกัด : https://goo.gl/maps/7AS6XsHmNZHshPqKA
วันและเวลาทำการ : 9 โมงเช้า - 5 โมงเย็น
รีวิว : ศาลเจ้าชื่อดัง เรื่องให้โชคลาภ คนส่วนใหญ่จะมาขอพรเรื่องการเงิน การค้าขายหรือขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง สำเร็จกันไปหลายรายแล้วขอบอก
7. Takeshita Street
พิกัด : https://goo.gl/maps/MbtcF2VJtF8dcsdb7
วันและเวลาทำการ : 10 โมงเช้า - 3 ทุ่ม
รีวิว : เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฮาราจุกุ จำหน่ายสินค้าเครื่องประดับ แฟชัน แหล่งรวมตัวยอดของเหล่าแฟชันนิสต้า อีกทั้งยังมีร้านอาหารตลอดความยาวกว่า 400 เมตร
8. Ichiran Ramen
9. Meji Jingu
พิกัด : https://goo.gl/maps/K9FrMaoWY4zHmqkA6
วันและเวลาทำการ : ตี 5 - 6 โมงเย็น
รีวิว : ศาลเจ้าสุดร่มรื่นที่รวบรวมต้นไม้ไว้มากกว่า 1 แสนต้น และเป็นศาลเจ้าที่คนนิยมมาขอพรให้ช่วงปีใหม่ ถ้าโชคดีอาจจะได้เจอกิจกรรมหรือพิธีแต่งงานที่จัดขึ้นในวัดแห่งนี้ด้วย
10. Mikorezushi
ขอบคุณภาพจาก : https://www.lonelyplanet.com/japan/tokyo/attractions/shibuya-crossing/a/poi-sig/396831/356817
Dachstein เป็นเทือกเขาหินปูนขนาดใหญ่ใจกลางประเทศ ออสเตรีย ครอบคลุมพื้นที่ถึงสามแคว้น ได้แก่ อัพเปอร์ ออสเตรีย สติเรีย และซาลซ์บูร์ก ในเทือกเขานี้มีถึง 12 ยอด ที่สูงเกินกว่า 2,500 เมตร และมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางธรรมชาติบนเทือกเขาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1997
5 Fingers มีลักษณะเป็นโครงเหล็กรูปนิ้วมือทั้งห้านิ้วยื่นลอยออกไปจากหน้าผาสูงเกือบ 2,100 เมตร นักท่องเที่ยวจะได้ตะลึงความงดงามของเมืองฮัลล์สตัทท์ และทะเลสาบที่อยู่เบื้องล่าง แต่ละนิ้วมือจะมีความแตกต่างกันซึ่งหนึ่งในนั้นมีพื้นเป็นกระจกใส ทำให้มองทะลุลงไปยังด้านล่าง จนอาจจะรู้สึกหวิวๆ และยังมีจุดถ่ายรูปที่เป็นกรอบรูปโล่งๆ ให้คุณได้เข้าไปอยู่ในเฟรมที่มีวิวด้านหลังเป็นฉากของเทือกเขาสุดอลังการ
วิธีการเดินทางไป 5 Fingers จะต้องขึ้นเคเบิลคาร์จากสถานี Dachstein Salzkammergut Cable car Station ที่อยู่ห่างจาก Hallstatt ประมาณ 7 กิโลเมตร
สนใจรายละเอียดโปรแกรมทัวร์ คลิก
เมืองฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เป็นเขตชุมชนโบราณของชาวเคลติก (Celtic) ชนพื้นเมืองเก่าแก่ของภูมิภาคยุโรป มีการขุดค้นพบร่องรอยของการอยู่อาศัยที่มีอายุมากถึง 800-450 ปีก่อนคริสตกาล และได้เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายของออสเตรียในตอนกลางจากการค้นพบเกลือภูเขา มีเหมืองเกลือขนาดใหญ่ และทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกับชุมชนโดยรอบจนเศรษฐกิจเจริญเฟื่องฟู
เมืองฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่มีเสน่ห์คือความเงียบสงบสวยงาม จุดเด่นคือเมืองริมทะเลสาบสี ที่มีเทือกเขาสูงตระหง่านล้อมรอบ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาเที่ยวแบบวันเดียวกลับ เนื่องจากเป็นเมืองเล็กๆ ที่สามารถเดินเที่ยวชมได้ทั่วภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งถึงสองชั่วโมง
ไฮไลท์เด่นของที่นี่ นอกจากจุดชมวิวที่เป็นมุมมหาชนแล้ว นั่นก็คือ Hallstatt Lutheran Church โบสถ์ประจำเมืองสัญลักษณ์เมืองฮอลสตัทท์ ที่ไม่ว่าอยู่ตรงไหนก็สามารถมองเห็นยอดสูงเด่นของโบสถ์นี้ได้ชัดเจน
เหมืองเกลือ (Salzwelten) เพราะในอดีต Hallstatt เป็นเมืองที่มีความเจริญมาจากการทำเหมืองเกลือ แต่ในปัจจุบันยังคงอนุรักษ์ไว้ในพิพิธภัณฑ์เหมืองเกลือให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม
เมืองฮัลล์สตัทท์ สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะแต่ละช่วงฤดูมีความสวยงามที่แตกต่างกัน
การเดินทางไป Hallstatt ไม่ว่าจะมาทาง Salzburg หรือ Vienna ส่วนมากจะต้องผ่าน Bad Ischl โดยนั่งรถบัสจาก Salzburg มาลง Bad Ischl
สำหรับใครที่พัก Obertraun สามารถขึ้นรถไฟ จากสถานี Bad Ischl ลงที่สถานี Obertraun Dachsteinhöhlen Bahnhof แล้วนั่งเรือจาก Obertraun ลงที่ Hallstatt Lahn (เฉพาะช่วงหน้าร้อน) หรือนั่งรถบัสจาก Obertraun สาย 543 มาลงที่ Hallstatt Lahn
ส่วนถ้าพักที่ Hallstatt นั่งรถไฟจาก Bad Ischl ไปลงสถานี Hallstatt Bahnhof แล้วต่อเรือที่ Hallstatt Bahnhst ไปลง Hallstatt Markt
ขอบคุณภาพประกอบจาก https://unsplash.com
ทะเลสาบอูร์เมีย หรือ ดาร์ยาเซห์เยะอุรูมีเยะห์ (Lake Urmia) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีน้ำตื้น ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิหร่าน เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง และเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก มีพื้นที่ราว 5,200 ตร.กม. ยาว 140 กม. กว้าง 55 กม. และลึก 16 เมตร
น้ำในทะเลสาบอูร์เมียแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนสีได้ไปตามฤดูกาล นักวิทยาศาสตร์เผยว่าเกิดจากการตกตะกอน และสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้ความเค็มของน้ำเปลี่ยนไปทำให้จุลินทรีย์เกิดการเปลี่ยนแปลง
นักวิทยาศาสตร์บอกว่าการที่น้ำในทะเลสาบอูร์เมียเปลี่ยนเป็นมีสีแดงเข้มเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ในฤดูใบไม้ผลิน้ำจืดจากหิมะละลายและฝนตกจะไหลเข้าสู่ทะเลสาบทำให้ความเข้มข้นของเกลือในทะเลสาบลดลง แต่ในฤดูร้อนไม่มีน้ำจืดไหลเข้าทะเลสาบ ขณะเดียวกันน้ำที่ระเหยออกไปก็เพิ่มปริมาณมากขึ้น ทำให้ความเข้มข้นของเกลือในทะเลสาบเพิ่มขึ้น
ขอบคุณภาพประกอบจาก
www.sosyalforum.org
อือซึก-เกิล เป็นทะเลสาบในเทือกเขาเทียนชาน ทางภาคตะวันออกของคีร์กีซสถาน ทะเลสาบนี้เป็นทะเลสาบที่ลึกเป็นอันดับที่ 7 ของโลก และใหญ่เป็นอันดับที่ 10 ของโลกตามปริมาตร และทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองหลังจากทะเลแคสเปียน อือซึก-เกิลแปลว่า "ทะเลสาบอุ่น" ในภาษาคีร์กีซ แม้ว่าจะล้อมรอบด้วยยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ แต่ก็ไม่เคยแข็ง
อือซึก-เกิลยาวประมาณ 182 กิโลเมตร (113 ไมล์) และกว้างที่สุดประมาณ 60 กิโลเมตร (37 ไมล์) และมีพื้นที่ประมาณ 6,236 กม² (2,408 ไมล์²) เป็นทะเลสาบกลางเทือกเขาที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากทะเลสาบติติกากาในทวีปอเมริกาใต้ อยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 1,607 เมตร (5,270 ฟุต) และจุดที่ลึกที่สุดลึกประมาณ 668 เมตร (2,190 ฟุต)
มีแม่น้ำและลำธารรวม 118 สายไหลลงทะเลสาบ แม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดคือ Djyrgalan และ Tyup ทะเลสาบไม่มีทางน้ำไหลออก แต่นักอุทกวิทยาหลายคนตั้งสมมุติฐานว่ามีน้ำจากทะเลสาบซึมลงใต้ดินสู่แม่น้ำชู มีแร่มอโนไฮโดรแคลไซต์ที่ก้นทะเลสาบ ความเค็มของทะเลสาบนี้ประมาณร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับความเค็มร้อยละ 3.5 ของน้ำทะเลทั่วไป ถึงแม้ว่าระดับน้ำในทะเลสาบสูงกว่าในยุคกลางประมาณ 8 เมตร แต่ในปัจจุบันระดับน้ำลดลงประมาณ 5 เซนติเมตรต่อปีเนื่องจากการผันน้ำ
ขอบคุณภาพประกอบจาก
www.foliovision.com
ทะเลสาบชิงไห่ (青海湖) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มใหญ่ที่สุดของประเทศจีน อยู่ในมณฑลชิงไห่ สหประชาชาติจัดให้เป็น "พื้นที่ชุ่มน้ำแหล่งสำคัญของโลก" มีจุดเด่นคือมีน้ำจึงไหลเข้าอย่างเดียว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 4,500 ตารางกิโลเมตร อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,196 เมตร มีความยาวจากตะวันออกถึงตะวันตก 106 กิโลเมตร และมีความกว้างจากใต้ถึงเหนือ 63 กิโลเมตร น้ำลึกโดยเฉลี่ย 19 เมตร และลึกที่สุด 39 เมตร โดยมีภูเขาโอบล้อมอยู่ทุกทิศทาง
กลางทะเลสาบมีเกาะเล็ก ๆ อยู่ 5 เกาะ เกาะไห่ซีซาน(海西山)ชื่อเรียกทั่วไป "เกาะไข่"(蛋岛 เกาะไห่ซีผี(海西皮)เกาะไห่ซินซาน(海心山 เกาะทราย(沙岛) เกาะหินสามก้อน(三块石岛)
ขอบคุณภาพประกอบจาก
www.chinatouradvisors.com
ทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) เป็นทะเลปิดที่อยู่ระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปยุโรป มีเนื้อที่ผิวน้ำประมาณ 371,000 ตร.กม. และจุดลึกที่สุดลึกประมาณ 980 เมตร ทะเลแคสเปียนมีลักษณะร่วมของทั้งทะเลและทะเลสาบ บางครั้งจึงได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามน้ำในทะเลแคสเปียนกลับไม่ได้เป็นน้ำจืด มีปริมาณเกลือประมาณ 1.2% ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณเกลือในน้ำทะเลทั่วไป
ทะเลแคสเปียนเป็นพรมแดนของประเทศรัสเซีย ประเทศอาเซอร์ไบจาน ประเทศอิหร่าน ประเทศเติร์กเมนิสถาน และประเทศคาซัคสถาน
ทะเลแคสเปียนกำเนิดเมื่อประมาณ 30 ล้านปีมาแล้ว และได้กลายเป็นทะเลปิดในภายหลัง (ประมาณ 5.5 ล้านปี) จากหลักฐานที่พบ คาดว่ามนุษย์เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้เมื่อ 75,000 ปีก่อน
ขอบคุณภาพประกอบจาก
https://www.youtube.com/watch?v=Oilqam_5zw0
หมู่บ้านแมวหูต่ง (Houtong Cat Village) ถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักแมวอีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่บนเนินเขาเรียบฝั่งแม่น้ำจี้หลง เมืองนิวไทเป (New Taipei City) ห่างจากเมืองหลวงไทเปออกไปเพียง 35 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยแมวเหมียวนับร้อยชีวิต เดิมชื่อว่าหมู่บ้าน Hou Dong ที่แปลว่า “ถ้ำลิง” เนื่องจากในช่วงแรกที่มีผู้คนเข้ามาอาศัย ที่นี่เป็นถ้ำและมีลิงป่าอาศัยอยู่
ในสมัยที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาปกครองไต้หวัน หมู่บ้านหูต่งเคยเป็นพื้นที่เหมืองถ่านหินมาก่อน เมื่อปิดตัวลงผู้คนต่างก็ย้ายออกจากพื้นที่ไปเหลือเพียงไม่กี่ร้อยชีวิตที่ยังคงเลือกใช้ชีวิตที่หมู่บ้านแห่งนี้ต่อและทิ้งแมวไว้จำนวนหนึ่ง จนประชากรแมวได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นปัญหาแมวจรจัด ในปี 2008 มีอาสาสมัครคนรักแมว Peggy Chien เข้ามายังหมู่บ้าน และได้โพสต์ผ่านทาง Social Network จนหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่รู้จัก และสามารถดึงดูดผู้คนเข้ามาชมเป็นจำนวนมากขึ้น
แมวในหมู่บ้านหูต่ง มีแทบทุกชนิด หลากสีหลายลาย และเป็นมิตร ซึ่งในทุกๆ พื้นที่ตลอดเส้นทาง ก็จะได้เจอเจ้าเหมียวเดินเล่นบ้าง นอนอาบแดด หรือแอบหลับพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ จนต้องแพ้ความน่ารัก และรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บภาพความน่ารักเหล่านี้
สามารถเดินเล่น ชมบรรยากาศของธรรมชาติ ลัดเลาะไปตามไหล่เขา พื้นที่ไม่กว้างมาก แต่ตลอดเส้นทางนั้นจะมีการประดับ และตกแต่งด้วยรูปภาพแมวน้อยน่ารักตลอดเส้นทาง รวมทั้งน้องแมวตัวจริง ร้องเหมียวๆ ให้ได้เล่นกันจนฟินไปเลย
Houtong Cat Village ปัจจถบัน กลายเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้าง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และสินค้าที่ระลึกให้เลือกซื้อมากมาย
น้องแมวส่วนใหญ่ที่นี่มีอัธยาศัยดี นักท่องเที่ยวสามารถเตรียมอาหารเม็ดไปได้ หรือจะหาซื้อจากร้านค้าในหมู่บ้านได้เช่นกัน โดยสามารถให้อาหารในบริเวณพื้นที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น หรือถ้ามีป้ายบอกว่าห้ามเล่นกับแมว และห้ามการใช้แฟลชในการถ่ายภาพ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ
เวลาทำการ เวลาเปิด-ปิด: 08.00 – 18.00 น.
วิธีการเดินทาง โดยรถไฟ TRA สถานีหลักไทเป (Taipei Main Station) ไปยังสถานีรุ่ยเฟิ่ง (Ruifang Station) และเปลี่ยนเป็นรถไฟสายผิงซี (Pingxi Line) ไปยังสถานีหูต่ง (Houtong Station) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
ขอบคุณภาพประกอบจาก
https://www.nationalgeographic.com/travel/destinations/asia/taiwan/taiwan-cat-village-travel-spd/
ดานัง (Da Nang) พื้นที่มรดกทางวัฒนธรรมของเวียดนาม ที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือนอยู่เสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจุดที่ฮอตสุดก็ต้องที่นี่ บานาฮิลล์ (Ba Na Hills) ที่มีคนมาเพิ่มขึ้นทุกปี บานาฮิลล์ตั้งอยู่บนยอดเขาชัว (Chua Mountain) สามารถเดินทางไปด้วยการนั่งกระเช้าลอยฟ้า เพื่อขึ้นไปสัมผัสกับวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา น้ำตก และผืนป่า และจะได้ตื่นตากับปฏิมากรรมพระพุทธรูปที่มีความสูงถึง 27 เมตร รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพรรณ
ภายในบานาฮิลล์ ประกอบด้วย ศูนย์รวมความบันเทิงสำหรับครอบครัว, เจดีย์ลิ่งอึ้ง, หอคอย Linh Phong Tu, โรงไวน์ Debay Wine Cellar, หมู่บ้านฝรั่งเศส, สวน Le Jardin D'Amour, วัด Tombstone, วัด Linh Chua Linh Tu, หอระฆัง, ศาลเจ้า Ba Shrine, สวนสนุกแฟนตาซี ปาร์ค (Fantasy Park), รถราง และอัลไพน์ โคสเตอร์ (Alpine Coaster)
จุดชมวิวยอดนิยม คงหนีไม่พ้นบริเวณ Golden Bridge สะพานลอยฟ้า สีเหลืองทอง ในอุ้งมือยักษ์ ที่ใครๆ ก็ต่างต้องมาถ่ายรูปกัน
ขอบคุณภาพประกอบจาก
https://banahills.sunworld.vn/en/
https://unsplash.com
Hengdian World Studios “เหิ้งเตี้ยน” โรงถ่ายหนังจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่เมืองเหิงเตี้ยน มลฑลเจ้อเจียง อยู่ไม่ไกลจากมหานครเซี่ยงไฮ้ ภายในจำลองเมืองจีนในยุคต่างๆ ไว้แทบทั้งหมด ในพื้นที่เดียวกัน ก่อตั้งโดยบริษัท “เหิงเตี้ยน สตูดิโอ” และเปิดให้เช่าสถานที่ถ่ายทำ รวมทั้งอุปกรณ์ การจัดหานักแสดงสมทบตัวประกอบ และยังเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวเข้าชม มาตั้งแต่ช่วงยุคปลาย 90 จนปัจจุบัน
ซึ่งถ้าหากมีช่วงการถ่ายทำภาพยนตร์ ทางสตูดิโอจะปิดการเข้าชมบางจุด แต่พื้นที่นั้นกว้างขวางใหญ่โตมาก เพราะมีการสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะมาเดินเที่ยวชมภายใน วันหรือสองวัน ก็เดินดูไม่ทั่ว
“เหิ้งเตี้ยน” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งภาพยนตร์ระดับโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A ของจีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1996 ปัจจุบันได้กลายเป็นฐานการถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดโลก จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “ฮอลลีวูดแดนตะวันออก”
การมาเที่ยว “เหิ้งเตี้ยน” ควรวางแผนอยู่ที่นั้นอย่างน้อย 3-5 วัน จะได้ฟินกับสถานที่และบรรยากาศ ซึ่งเมื่อมาถึง สถานที่ไฮไลท์ที่ต้องมาดูให้ได้ นั่นก็คือ Palace of Ming and Qing Dynasties หรือ “วังต้องห้าม” ที่มีความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง
การเดินทางมา "เหิงเตี้ยน" สามารถมาได้หลายเส้นทางโดย ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากอี้อู เมืองหางโจว หรือเซี่ยงไฮ้ นั่งรถไฟความเร็วสูงมาลงที่สถานีรถไฟอี้อู (Yiwu Railway Station, 义乌火车站) ใช้ระยะเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง แล้วต่อรถบัสไปยังท่ารถเหิงเตี้ยน (客运中心) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
การเที่ยวชมภายใน "เหิงเตี้ยน" ภายในมีรัศมี 20 ตารางกิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 บริเวณหลักคือ ตัวเมืองทางใต้ (镇南) และตัวเมืองทางเหนือ (镇北) นอกจากการมาเดินชม ถ่ายรูป ที่นี่ยังมีไฮไลท์คือ การแสดงให้ได้ชมกันทั้งวัน ในทุกจุดท่องเที่ยว เหมือนพาตัวเองเข้าไปในโลกของซีรี่ย์ ภาพยนตร์เช่น การแสดงต่อสู้ด้วยวิทยายุทธ์กระบี่ เป็นต้น
ขอบคุณภาพประกอบจาก
www.hengdianworld.com
เกาะซานโตรินี (Santorini) มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสี้ยวพระจันทร์ เป็นผลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ในสมัยก่อน ซึ่งเกิดครั้งสุดท้ายเมื่อ 3600 ปีมาแล้ว ซึ่งเกาะซานโตรนี เป็นเกาะที่มีความสวยงามมากแห่งหนึ่งของโลก จนได้รับสมญานามว่า "Queen of Mediterranean Sea"
เมืองหลวงของเกาะซานโตรินี คือเมือง "ฟีร่า" ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 73 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากรกว่า 13,600 คน เอกลักษณ์อันโดดเด่น ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก มาเที่ยวที่เกาะแห่งนี้ คงหนีไม่พ้นทัศนียภาพอันงดงาม และกลุ่มอาคารสีขาวรูปทรงแปลกตา ที่ตั้งลดหลั่นกันตามเชิงเขาสูงชัน รวมถึงโบสถ์ที่ทาสีขาวและสีฟ้าอยู่บนยอดเขา ซึ่งบรรยากาศแบบนี้จึงไม่แปลกใจที่ใครๆ ก็หลงรักเกาะซานโตรินีแห่งนี้
กิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากๆ เมื่อมาถึงเกาะซานโตรินี คงหนีไม่พ้นการชมพระอาทิตย์ตก ที่หมู่บ้าน "เอีย" ซึ่งได้รับการยอมรับว่า เป็นหมู่บ้านที่มีเสน่ห์มากที่สุดบนเกาะแห่งนี้ และที่สำคัญที่สุดยังมีชายหาดแปลกๆ ที่ไม่เหมือนที่อื่นให้นักท่องเที่ยวได้มาชมนั่นก็คือ ชายหาดหินกรวดสีดำ, ชายหาดสีแดง และชายหาดสีขาว ลองดูภาพบรรยากาศเหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกอยากไปเที่ยวขึ้นมาเลยทีเดียว
ภาพประกอบจาก
https://pixabay.com
ธารน้ำแข็งหิมะกราเซียร์ ณ อุทยาน ไห่โหลวโกว ตั้งอยู่ที่อำเภอหลู่ติ้ง เขตปกครองตนเองชาวทิเบตกานจือ มลฑลเสฉวน ประเทศจีน ห่างจากนครเฉิงตูประมาณ 319 กิโลเมตร ห่างจากเมืองคังติ้งประมาณ 105 กิโลเมตร
ไห่โหลวโกว เป็นกลุ่มธารน้ำแข็งที่มีธารน้ำแข็งใกล้กับเส้นศูนย์สูตร มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลต่ำมากที่สุด และมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจีน โดยมีธารน้ำแข็งใหญ่เล็กทั้งหมด 110 กว่าสาย สายที่ใหญ่ที่สุดกว้างประมาณ 1,100 เมตร ดูเหมือนน้ำตกน้ำแข็งที่ไหลเชี่ยวกรากลงมาจากท้องฟ้าอย่างน่าอัศจรรย์
ไห่โหลวโกว เกิดจากลำห้วยที่มีน้ำแข็งเคลื่อนตัวละลายทางด้านตะวันออกของภูเขาก้งก่า ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 7,556 เมตร ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเทือกเขาเหิงต้วน และธารน้ำแข็งที่ละลายก็จะไหลลงสู่แม่น้ำโม่ซีเหอซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำต้าตู้เหอ
ยอดเขาสูงเหล่านี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดปี เมื่อหิมะละลายจะไหลลงจากยอดเขาสู่เส้นทางข้างล่างจับตัวกันเหมือนม่านน้ำแข็ง ทำให้เกิดเป็นธรรมชาติที่แปลกตา
ไห่โหลวโกว ถูกนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกแห่งประเทศจีนยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ธารน้ำแข็งที่สวยที่สุดของจีน ที่นี่มีน้ำพุร้อนที่มีแรงเสน่ห์ดึงดูดคู่รักและครอบครัว มีป่าดิบที่คงสภาพดั้งเดิมอย่างดีที่สุด มีป่าธรรมชาติมากพอเทียบกับเกาะแทสเมเนียของประเทศ ออสเตรเลีย มีน้ำตกไหลจากเขาสูงและมีขนบธรรมเนียม ประเพณีของชนเผ่าที่แปลกตาน่าสนใจ
การเดินทางไปไห่โหลวโกว จะต้องนั่งรถขึ้นเขาสูง ผ่านป่าสนที่เก่าแก่ ก่อนจะไปต่อด้วยกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปอีกที ใช้เวลาเดินถึง 5- 6 ชั่วโมง ระหว่างทางที่อยู่บนเขากระเช้า สามารถมองลงมาเห็นธารน้ำแข็งเบื้องล่าง
ที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุดก็คือ ศาลพระพรหม ที่ทางรัฐบาลไทย ได้มอบเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน และครบรอบ 35 ปี ในปี 2010 พระพรหม สีทองที่ตั้งตระหง่าน โดดเด่น อยู่กลางขุนเขาที่มีหิมะปกคลุม
จากบรรยากาศด้านบนนี้ แทบไม่อยากจะเชื่อว่ามีอยู่จริง มันเหมือนภาพวาดในจินตนาการมากๆ เพราะการที่มีองค์พระพุทธรูป สีทองอร่าม ตั้งสง่าอยู่ท่ามกลางหุบเขากงก้า ที่ปกคลุมด้วยหิมะ ให้ความรู้สึกที่มีมนต์ขลัง สร้างความอบอุ่นใจ ให้กับเราที่เป็นคนไทย ได้อย่างบอกไม่ถูก
สะพานหลูติ้ง Luding Bridge (瀘定橋) เป็นสะพานแขวนเก่าแก่ที่สุดของจีน สร้างเมื่อปี 1705 สมัยจักรพรรดิคังซี แห่งราชวงศ์ชิง มีความยาว 103 เมตร กว้าง 2.8 เมตร ใช้โซ่เหล็ก 13 เส้นขึงระหว่างสองฝั่ง แม่น้ำต้าตู้เหอ พื้นสะพานปูด้วยไม้กระดาน สะพานแห่งนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ของจีน เมื่อกองทัพแดงสู้รบกับกองทัพของรัฐบาลเจียงไคเช็คในปี 1935 และได้สร้างวีรกรรมพลีชีพในการแย่งยึดสะพานนี้มาจากกองทัพก๊กมิ่นตั๋ง
สะพานหลูติ้ง มีประวัติความเป็นมา ซึ่งเป็นรอยต่อสำคัญระหว่างเขตชาวฮั่นและเขตทิเบต ครั้งเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 1935 กองทัพแดง ได้เดินทางถึงที่นี่ ทหารกองทัพแดง 22 คน ได้อาสาสกัดกั้น จึงทำให้กองทัพแดงที่ท่านเหมาบัญชาการนั้น เอาตัวรอดจากวงล้อมของทหารเจียงไคเช็คไปได้ สะพานแห่งนี้จึงเป็นสะพานแห่งประวัติศาสตร์ของจีน
สะพานหลูติ้ง เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในช่วงเวลา 7.00-19.00 รวมทั้งเป็นเส้นทางสำคัญของชาวบ้านระแวกนี้ เพื่อใช้สัญจรลำเลียงสินค้าไปขาย
อุทยานธรรมชาติมู่เก๋อฉั่ว (Mugecuo Scenic Area) 木格措 เป็นอุทยานที่ได้รับคำสมญานามว่า ดินแดนสวรรค์แห่งทะเลสาบบนพื้นพิภพ แหล่งท่องเที่ยวที่ตั้งในเขตเมืองกานจือ ของเขตปกครองตนเองชนชาติทิเบตกานจือ และอยู่ห่างจากเมืองคังติ้งไป ประมาณ 21 กิโลเมตร
อุทยานธรรมชาติมู่เก๋อฉั่ว เป็นอุทยานที่มีชื่อเสียงมากเป็นอับต้นๆของจีน นักท่องเที่ยวหลายคนที่มาเยือนต่างยอมรับว่า อุทยานธรรมชาติมู่เก๋อฉั่ว นั้นมีความงดงามเทียบเท่ากับ อุทยานจิ่วจ้ายโกว ก็ว่าได้ โดยเฉพาะความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขา ป่าไม้ ทุ่งหญ้า ทะเลสาบอันงดงามนับสิบแห่งนั้น ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศให้มาเยือน
ทะเลสาบมู่เก๋อฉั่ว เป็นทะเลสาบที่ตั้งสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,780 เมตร กินเนื้อที่ประมาณ 40 ตร.กม. ซึ่งความพิเศษตรงที่ ทะเลสาบนี้สามารถเปลี่ยนสีได้หลากหลายในหนึ่งวัน ตอนเช้าพื้นผิวราบเรียบดั่งกระจก สะท้อนเงายอดเขาหิมะและขุนเขา หลังเที่ยงระลอกคลื่นกระเพื่อมเสียงดังไปทั่วทั้งหุบเขา เมื่อถึงยามเย็นแสงอาทิตย์สาดส่องผิวทะเลสาบเป็นสีทอง และเมื่อฤดูหนาวน้ำในทะเลสาบก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง
อึกหนึ่งไฮไลท์ของอุทยานธรรมชาติมู่เก๋อฉั่ว นั่นก็คือ ทะเลสาบ 7 สี ที่มีความงดงามเกินคำบรรยาย ประดุจแดนสวรรค์สร้าง เปรียบเสมือนกระจก 7 สี ที่สะท้อนเอาความงดงามใต้ผืนน้ำออกมาให้ประจักษ์แก่สายตาของนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน
อุณหภูมิของทะเลสาบเจ็ดสีสามารถสูงถึง 153 ℉ (67 ℃)
การเดินทางเที่ยวในอุทยานธรรมชาติมู่เก๋อฉั่วนั้นง่าย มีรถอุทยานรับส่งที่ทุกจุดสำคัญๆ เช่น หุบเขาตู้จวาน ที่ราบไซ่หม่า บ่อน้ำแร่เย่าฉือเฟ่ย ทะเลสาบมู่เก่อฌั่ว ทะเลสาบ 7 สี และ ทุ่งหญ้าหงไห่ (ทะเลแดง)
เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ประจำชาติของจีน แพนด้ายักษ์! สัมผัสทัศนียภาพที่สวยงามที่เป็นอยู่อาศัยของแพนด้า เรียนรู้วิธีการอนุรักษ์และการขยายพันธุ์ แพนด้ายักษ์และแพนด้าแดง
ศูนย์อนุรักษ์แพนด้าที่เมืองเฉิงตูนี้ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ.1993 ภายในศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าที่เฉิงตู นอกจากอนุรักษ์หมีแพนด้า ยังมีการขยายพื้นที่ให้กับการดูแลและเพาะพันธุ์ แพนด้าแดง ลิงสีทอง และสัตว์ป่าที่ไกล้จะศูนย์พันธุ์อื่นๆ
ที่ศูนย์อนุรักษ์แพนด้ายักษ์เมืองเฉิงตู แห่งนี้มีพื้นที่กว้างมาก แบ่งเป็นสัดส่วน จำนวนแพนด้าที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็มีจำนวนมาก ทำให้สามารถเดินชมแพนด้าได้หลายช่วงอายุ และสามารถชมได้อย่างใกล้ชิด
นอกจากศูนย์อนุรักษ์แพนด้ายักษ์เมืองเฉิงตู แห่งนี้จะดูแลสุขภาพและให้ความปลอดภัยกับครอบครัวแพนด้าแล้ว ปัจจุบันมีลูกแพนด้าเกิดขึ้นที่ศูนย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยได้รับการดูแลจากทีมนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างดี และยังส่งแพนด้าไปยังเมืองต่างๆ และประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเป็นทูตสัมพันธไมตรีตามนโยบายของรัฐบาลจีนอีกด้วย อย่าง ช่วงช่วง และหลินฮุ่ยก็เป็นสองใน 28 ตัว ที่ทางการจีนส่งมอบให้ต่างประเทศดูแล
ที่ศูนย์อนุรักษ์แพนด้ายักษ์เมืองเฉิงตูแห่งนี้ เปิดเวลาทำการ: 7:30-18:00 น.
การเดินทาง จากท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิว (CTU): ใช้รถประจำทางสาย 303 จากท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิว ไปยังป้ายรถประจำทางของสนามกีฬามณฑลเสฉวน (Sichuan Stadium) แล้วเปลี่ยนไปเป็นรถรถประจำทางสาย 99 เพื่อไปยังป้าย Zoo Bus Stop จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถประจำทางสาย 87/198 เพื่อไปยังป้าย Panda Base Bus Stop หรือใช้บริการแท็กซี่
จากสถานีรถไฟเฉิงตูเหนือ: ขึ้นรถประจำทางสาย 9 ไปยังป้าย Zoo Bus Stop แล้วต่อรถประจำทางสาย 87 หรือ 198 ไปยังป้าย Panda Base Bus Stop
จากใจกลางเมืองเฉิงตู : ขึ้นรถประจำทางไปยังป้าย Zoo Bus Stop แล้วต่อรถประจำทางสาย 87 หรือ 198 ไปยังป้าย Panda Base Bus Stop
สวนเสือไซบีเรีย ฮาร์บิ้น ตั้งอยู่ทางนอกเมืองฮาร์บิน ไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 50 กิโลเมตร เค้าว่ากันว่าเป็รอีกหนึ่งสถานที่ของฮาร์บิ้น ที่สร้างความตื่น!!! ได้ดีที่สุด
เสือโคร่งไซบีเรีย หรือ เสือโคร่งอามูร์ เป็นสายพันธุ์ย่อย ของเสือโคร่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังหลงเหลือเผ่าพันธุ์อยู่จนถึงปัจจุบัน เสือโคร่งไซบีเรีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึงเกือบ 3 เมตร และหนักได้ถึงเกือบ 300 กิโลกรัม เป็นเสือโคร่งที่มีลำตัวที่ใหญ่กว่าเสือโคร่งชนิดอื่น ใบหน้าแผ่กว้าง กรามใหญ่ ลวดลายน้อย และพื้นลำตัวเป็นสีเหลืองออกขาวมากกว่าเสือโคร่งชนิดอื่น ๆ เป็นการปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่มีหิมะและความหนาวเย็นอยู่รอบตัว
ที่ประเทศจีน ในปี 1990 มีการพบเห็นเสือโคร่งพันธุ์ไซบีเรียในเทือกเขาฉางไป๋ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ในประเทศเกาหลีเหนือ สันนิษฐานว่ายังมีเสือโคร่งไซบีเรียหลงเหลืออยู่บริเวณภูเขาเปกดู ซึ่งเป็นบริเวณพรมแดนที่ติดต่อเทือกเขาฉางไป๋ของจีน
ในปี ค.ศ. 1950 มีเสือโคร่งไซบีเรียอยู่ประมาณ 4,000 ตัว แต่หลังจากนั้นก็ลดจำนวนอย่างรวดเร็วจากการถูกล่า หนึ่งเนื่องจากทางการจีนประกาศว่าเสือโคร่งเป็นสัตว์รบกวนที่ต้องกำจัด ภายในเวลาเพียง 30 ปี เสือโคร่งไซบีเรียถูกล่าไปถึงประมาณ 3,000 ตัว และในปี 1979 รัฐบาลเริ่มประกาศห้ามล่า ในอดีตเสือโคร่งไซบีเรีย เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่กว้างขวางของทวีปเอเชีย แต่ในปัจจุบัน เสือโคร่งไซบีเรียมีแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นป่าผืนเล็กที่อยู่ตอนเหนือของเมืองวลาดิวอสตอค ประเทศรัสเซีย ตามแนวชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นทางตอนเหนือ และมีจำนวนเพียง 400 ตัว การทำเหมืองแร่และการทำไม้ในแถบไซบีเรียตะวันออกซึ่งเป็นถิ่นของเสือโคร่งไซบีเรีย
มาเปิดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต กับความสวยงาม ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบกว่า 20 องศา ที่ประเทศจีน เพียง 47,900 บาท สนใจโปรแกรมทัวร์ โทร. 0658793936
จากหัวข้อที่กล่าวไว้หลายท่านคงคิดว่าเป็นนางสวาหะที่ยืนตีนเดียว เหนี่ยวกินลมรอพระพรายซัดเทพศัตราวุธเข้าปาก แล้วเกิดเป็นหนุมาน ในเรื่องรามเกียรติ์ แต่คงจะดูเป็นมหากาพย์ไปหน่อย หากจะบอกว่าเป็นแม่นาคอุ้มลูกยืนรอพ่อมากที่ไปรับใช้ชาติออกรบอยู่ที่ทุ่งบางกะปิ ก็ไม่ใช่อีก เพราะกรุงเทพฯ อย่าว่าแต่หิมะเลย ลมหนาวยังไม่มีให้สัมผัสแม้แต่น้อย มีแต่ไอแดดร้อนระอุ ทะลุ 40 องศาไปเรียบร้อย หญิงสาวคนที่ว่า คือ ชื่อของเทือกเขา Top of Europe เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนที่สูงสุดในทวีปยุโรปและอยู่ไกลถึงสวิตเซอร์แลนด์ นั่นก็คือ ยอดเขายุงฟราว (Jungfrau) ที่แปลว่า สาวน้อยหรือหญิงสาวที่บริสุทธิ์นั่นเอง
ยอดเขายุงฟราว หรือ ยุงฟราวยอร์ค (Jungfraujoch) เป็นส่วนหนึ่งในเทือกเขาแอลป์ ตั้งอยู่ในรัฐแบร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีความสูงที่สุดในยุโรป สูงจากน้ำทะเล 4,158 เมตร จากระดับน้ำทะเล และได้รับการจดทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกของโลกในปี ค.ศ. 2007 สำหรับวิธีการขึ้นไปก็มีรถไฟถึง 2 เส้นทางให้เลือกด้วยกัน คือ Lauterbrunnen และ Grindelwald จากต้นทางจะวิ่งไปเส้นทางที่ต่างกัน แต่ไม่ต้องกลัวที่จะถ่ายรูปไม่ทัน เพราะรถไฟสายนี้วิ่งช้าที่สุดในโลก (ยังมีช้ากว่าไทยอีกเหรอ) ระหว่างทางก็จะไปบรรจบที่สถานนี้เดียวกัน จากนั้นจะค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปและหยุดอีก 2 สถานี เพื่อให้พักถ่ายรูปและปรับสภาพร่างกายภายใต้แรงกดอากาศที่เบาบางลง ก่อนจะมุ่งตรงไปยังสถานีที่อยู่สูงที่สุดในโลก สถานียุงฟราวยอร์ค (Jungfraujoch)
หลังจากที่เราขึ้นไปยังสถานีนี้แล้วก็ไม่ได้กลัวว่าจะไม่มีอะไรให้ทำ เพราะมีกิจกรรมอีกเพียบรอคุณอยูาข้างหน้า สายศึกษาประวัติศาสตร์ก็สามารถมุ่งตรงไปยังพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงในอุโมงค์ยาวสุดลูกหูลูตา สายท้าความหนาวเราก็มีถ้ำน้ำแข็งรอให้คุณได้สัมผัสและน้ำแข็งแกะสลักรออยู่ภายใน แต่ไม่ควรพลาดชมในจุดชมวิว Sphinx โดยขึ้นลิฟต์มาเพียง 25 วินาทีเท่านั้น ก็จะได้พบกับวิวทิศทัศน์ของภูเขาน้ำแข็งและธารน้ำแข็ง Aletsch Glacier ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หรือกลับก็อย่าลืมแวะซื้อของฝาก หรือจะส่งโปสการ์ดจากไปรษณีย์ที่อยู่สูงที่สุดในโลกก็ได้เช่นกัน ขากลับก็ลองเลือกเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางให้ต่างจากตอนขึ้นเผื่อเปลี่ยนบรรยากาศสองข้างทาง และโบกมืออำลาหญิงสาวบนเทือกเขาอันหนาวเหน็บพร้อมภาพบรรยากาศสุดประทับใจ
วัดแฮดอง ยงกุงซา (Haedong Yonggungsa Temple) วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนโขดหินริมทะเล ที่สร้างในปี 1376 และมีการบูรณะอีกครั้งเมื่อปี 1970 วัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดของมังกร และโดยตำแหน่งที่ตั้งอันโดดเด่นของวัดนี้ ในช่วงปีใหม่จึงมักจะมีชาวเกาหลีมารอชมพระอาทิตย์แรกของปีพร้อมกับการไหว้พระขอพรปีใหม่กันที่นี่อีกด้วย
วัดนี้ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ของเมืองปูซาน (Busan) ซึ่งเป็นเมืองในพื้นที่ของ จังหวัดคย็องซังใต้ (คย็องซังนัมโด, Gyeongsangnam-do) เป็นวัดที่สร้างบนเหล่าโขดหินริมชายหาด ที่แตกต่างไปจากวัดส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะสร้างอยู่ตามเชิงเขา ในประเทศเกาหลีใต้
ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ที่สวยสุดในปูซาน มีเจดีย์สามชั้น และสิงโตสี่ตัว หันหน้าออกไปทางทะเล ซึ่งสิงโตทั้งสี่ตัวนี้ คือสัญลักษณ์ของความยินดี ความโกรธ ความเศร้า และความสุข
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของวัดแฮดอง ยงกุงซา (Haedong Yonggungsa) คือในช่วงเดือนเมษายน ที่วัดจะมีดอกซากุระบานให้ได้ชมกันด้วย ซึ่งดอกซากุระของเกาหลีจะไม่ได้หาชมได้ทั่วไปเหมือนที่ญี่ปุ่น จึงเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่วัดนี้จะคึกคัก
เมื่อเข้าสู่วัดแห่งนี้ จากประตูซุ้มมังกรสีทองอร่าม เดินผ่านอุโมงค์ขนาดเล็ก ไปสู่บันไดหิน 108 ขั้นและโคมไฟหิน ซึ่งเป็นจุดสำหรับชมวิว และความงดงามของท้องทะเลสีฟ้าคราม ก่อนจะเดินต่อลงไปสู่บริเวณซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์สีดำ ซึ่งปัจจุบันได้มีการบูรณะใหม่เป็นสีทอง ตั้งตระหง่านอยู่บนโขดหิน และมีท้องทะเลกว้างเป็นฉากหลัง
บริเวณภายในของวัด ยังมีองค์เจ้าแม่กวนอิม, พระสังกัจจายน์องค์สีทองอร่าม, ศาลเจ้า และพุทธสถานอื่นๆ อีกหลายแห่ง
วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม เหมาะสำหรับการมาชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า และมักเป็นสถานที่ ซึ่งเหล่าพุทธศาสนิกชนในเกาหลี พากันมาอธิษฐานขอพรในวาระต่างๆ รวมไปถึงในวันขึ้นปีใหม่ ตามคำขวัญของวัดแห่งนี้ที่ว่า “อย่างน้อยหนึ่งในความปรารถนาของคุณ จะได้รับการตอบรับ ผ่านการสวดอ้อนวอนที่จริงใจของคุณ”
และความเชื่อของคนที่นี่ เชื่อกันว่า ถ้าได้มาดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ในอุโมงค์แห่งนี้ จะช่วยในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้
หรือถ้าใครอยากได้ลูกชาย ต้องมาลูบท้องที่องค์ Deugnambul (Buddha of Granting Son)
มาเปิดประสบการณ์ การเที่ยวเกาหลีใต้ ในแบบที่คุณ ไม่เคยเห็นมาก่อน พิเศษสุดๆ เราจัดให้คุณไปเที่ยวแบบสบายๆ เพียง 47,900 บาท สนใจโปรแกรมทัวร์ โทร. 0658793936
มาทำความร้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ที่พึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาชมและสัมผัสได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักมากนัก นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่จึงเป็นคนจีนซะส่วนใหญ่ เมือง Harbin (Harbin ในภาษาแมนจู แปลว่าสถานที่ตากแห) เมืองหลวงของมณฑลเฮย์หลงเจียง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของสาธารณรัฐประชาชนจีน Harbin เป็นเขตอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต และเป็นศูนย์กลางด้านการเมือง การศึกษา เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการคมานาคมของตะวันออกเฉียงใต้ แต่สถานที่ที่เราจะพาไปชมในวันนี้ เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ที่มีชื่อว่า Shuangfeng ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Harbin ประมาณ 300 กิโลเมตร ส่วนวิธีการเดินทางไป ณ หมู่บ้านแห่งนี้ก็มีให้เลือกได้ตามสะดวก ทั้งแบบนั่งรถไปเองหรือแพคเกจเหมาที่พักรถรับส่งแล้ว
1. นั่งรถไฟไป (ราคาถูกแต่ใช้เวลานาน) นั่งไปลงที่เมือง Hailin แล้วเหมารถเข้าไปที่หมู่บ้านอีกที แนะนำให้เผื่อเวลานิดหน่อย เพราะ 4 โมงก็เริ่มมืดแล้ว
2. นั่งรถบัสไป (ราคาปานกลาง แต่ประหยัดเวลาขึ้น) ซึ่งสามารถนั่งจาก เมือง Harbin เข้าหมู่บ้านได้เลย จะเสียค่ารถคนละ 120 หยวน
3. ติดต่อผ่านโรงแรมหรือจองล่วงหน้ากับที่พักโดยตรง (ราคาแพงขึ้นมาหน่อย แต่สบายมากขึ้น) ราคารวมทุกอย่างแล้ว (ที่พัก ค่าเข้าชม รถไป - กลับและอาหาร 3 มื้อ) อยู่ที่ 600 - 800 หยวน (3,000 - 4,000 บาท)
ถ้าไปไม่ถูก ลองค้นใน Google Maps ว่า Shuangfeng Forest Farm
หากเลือกแพคเกจที่ไม่รวมค่าเข้าชม ก็จะเสียค่าเข้าชมอีกเกือบ 100 หยวน หากไปช่วงกลางวัน ก็สามารถถ่ายรูปกับบ้านเรือนต่าง ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ทั้งบนหลังคา บนพื้น หรือตามร้านค้าต่าง ๆ ระหว่างนี้ หรืออยากลองไปเที่ยวชมนอกหมู่บ้าน เค้ามีกิจกรรมทั้งเดินป่า เดินเขา ชมวิวหิมะ ขาวโพลน ทั้งสองข้างทาง แต่ก็ได้ความใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบสุด ๆ อีกทั้งยังมีกิจกรรมสนุก ๆ อย่างรถลากเลื่อน สกีล้อเลื่อน เป็นต้น
แต่หากมีเวลาพอเหลือเราอยากให้อยู่ช่วงช่วงกลางคืน จะได้บรรยากาศหมู่บ้านหิมะที่แท้ทรู ด้วยการตกแต่งหมู่บเานสไตล์จีน แสง สี ของร้านอาหารและจุดถ่ายรูปต่าง ๆ ให้คุณได้บรรยากาศที่สวยและหนาวมากขึ้นไปอีก เผลอ ๆ คุณอาจจะได้อยู่ท่ามกลางอุณภูมิที่ ติดลบ 25 องศา หากไปช่วง ธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์ อาจจะได้เจอกับเทศกาลหิมะ ที่มีการแกะสลักหิมะเป็นรูปต่าง ๆ ตลอดจนการเล่นแสง สีกับหิมะและน้ำแข็งด้วย
มาเปิดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต กับความสวยงาม ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบกว่า 20 องศา ที่ประเทศจีน เพียง 47,900 บาท สนใจโปรแกรมทัวร์ โทร. 0658793936
วันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 Machu Picchu ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากผู้คนทั่วโลก เรากำลังพูดถึงอารยธรรมอินคาที่สาปสูป แต่ยังคงเหลือที่ไว้ซึ่งร่องรอยของซากเมืองโบราณที่สมบูรณ์จนน่าทึ่ง เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 มีความรุ่งเรืองในเวลาต่อมา ก่อนจะถูกสเปนขยายอำนาจ และล่มสลายลงในศตวรรษที่ 16 หลากหลายทฤษฎีพยายามหาเหตุผลมารองรับว่าอาณาจักรแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออะไร แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครหาคำตอบเหล่านี้ได้
ที่ความสูง 8,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล คุณจะได้พบกับซากเมืองโบราณอารยธรรมอินคาที่สาปสูญและถูกทอดทิ้งหลังจากการล่มสลายมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนกระทั่งปี 1911 Hiram Bingham กลับมาค้นพบ ก่อนที่จะตีพิมพ์เป็นหนังสือ “The Lost City of the Incas” ที่กลายเป็น Best Seller ว่าด้วยเรื่องของเมืองดังกล่าวว่าถูกปกครองโดยนักบวชลัทธิบูชาสุริยะและถวายหญิงเพื่อเป็นการสังเวยแก่เทพเจ้า นี่คือประวัติคร่าว ๆ ของ Machu Picchu เมืองที่สาปสูญมาเป็นเวลานาน
ด้วยวิวของ Machu Pichu ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของทิวเขาสลับซับซ้อนกัน แม่น้ำ Urubamba ที่ไหลผ่านตามแนวยอดเขา ความน่าอัศจรรย์ของซากปรักหักพังโบราณ เส้นทางลัดเลาะตามแนวเขา และหากโชคดีอาจจะได้เจออัลปาก้าและลามา ที่เดินผ่านไปมาเพื่อกินหญ้าบริเวณนั้น ตลอดจนคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ทำให้ Machu Picchu และผืนป่าโดยรอบ จึงได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1983 รวมทั้งยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วยอีกด้วย
สำหรับการเดินทางมาที่นี่ก็สามารถขึ้นเครื่องมาลงที่ Lima เมืองหลวงของ Peru จากนั้น ค่อยเดินทางมายังเมือง Aguas Calientes ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของ Machu Pichu แล้วพักผ่อนซัก 1 คืน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และปรับตัวกับความกดอากาศ ก่อนเดินขึ้นไปยังจุดหมายปลายทาง จะใช้เวลา 1 - 2 ชม. หรือจะเลือกนั่งรถบัสขึ้นไป ก็ใช้เวลา 20 กว่านาที ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 12 USD ต่อเที่ยว หากใครยังมีแรงเหลือสามารถเดินทางไปเที่ยวต่อที่เมือง Cusco ด้วยก็ได้ คุณให้คุณได้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบชาวเปรู ถ่ายรูปกับอาคารบ้านเรือน หรือชอปปิ้งของฝากได้ที่เมืองนี้ แต่ระวังเรื่องความกดอากาศสักหน่อย เพราะเมืองนี้สูงและหนาวที่สุดในเปรูแล้ว สุขภาพและร่างกายคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดของการปีนเขา เตรียมตัวให้พร้อมแล้วมาดื่มด่ำกับที่สุดแห่งธรรมชาติและอารยธรรมที่สาปสูญที่ Machu Pichu
นอกจากนี้ ทะเลสาบไบคาล ได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย ซึ่งมีความสำคัญที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการยุคต่างๆ ของโลก เช่น เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของการเป็นตัวแทนในวิวัฒนาการสำคัญต่างๆในอดีตของโลก เช่น ยุคสัตว์เลื้อยคลาน ยุคน้ำแข็ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาความหลากหลายทางธรรมชาติบนพื้นโลก เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในการเป็นตัวแทนของขบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทาง ธรณีวิทยาหรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่กำลังเกิดอยู่ เช่น ภูเขาไฟ เกษตรกรรมขั้นบันได เป็นแหล่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์หายากหรือสวยงามเป็นพิเศษ เช่น แม่น้ำ น้ำตก ภูเขา เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดสัตว์และพันธุ์พืชที่หายากหรือที่ตกอยู่ในสภาวะ อันตราย แต่ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งรวมถึงระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่ว โลกให้ความสนใจด้วย
สนใจแพลนการเดินทาง ท่องเที่ยว Lake Baikal คลิก
Jewel Changi Airport Singapore อาคารเอนกประสงค์ใหม่ล่าสุด ภายในสนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ ประกอบไปด้วย ห้างสรรพสินค้า ร้านแบรนด์เนม ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ โรงแรม พื้นที่กิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย และไฮไลท์เด่นของที่นี่ นั่นก็คือ น้ำตกที่อยู่กลางอาคาร ซึ่งถือว่าเป็นน้ำตกในอาคารที่สูงที่สุดในโลก!!
Life style destination แห่งใหม่ของสิงคโปร์ ที่ผสมผสานธรรมชาติ ความสนุกสนาน เข้ากับความทันสมัย จนกลายเป็นห้างสรรพสินค้าที่หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน
การออกแบบที่สะดุดตาโดยบริษัทออกแบบชั้นนำ Safdie Architects ร่วมกับสถาปนิกฝีมือดีอีกมากมาย ที่สร้างความแปลกใหม่ได้อย่างลงตัว ทั้งในส่วนของ Forest Valley และน้ำตก Rain Vortex ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของอาคารนี้
อาคาร Jewel สามารถเดินทางมาได้ด้วยรถไฟ หรือรถประจำทาง จากสถานี MRT สนามบินชางงี หรือรถประจำทางจากอาคารผู้โดยสาร T1, T2 และ T3
ภาพจาก https://www.jewelchangiairport.com
พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันได้ถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวัง โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 720,000 ตารางเมตร ทางทิศเหนือของจัตุรัสเทียนอันเหมิน ภายในประกอบด้วยอาคารมากถึง 800 หลัง และมีห้องทั้งสิ้น 9,999 ห้อง มีพระที่นั่ง 75 องค์ รวมทั้งยังมีหอสมุด และห้องหับต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งใช้เวลาในการก่อสร้างยาวนานถึง 14 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ. 1949-1963 แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน
พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้ ยูเนสโกได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามร่วมกับพระราชวังเสิ่นหยางเป็นหนึ่งในมรดกโลกในนาม พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง เมื่อ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987)
ในปี 1961 พระราชวังต้องห้าม ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลจีนในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาติจีน และได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในชื่อของ พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่ง
ภาพจาก Lovepik.com (Free License)
โวลแคนบารู (Volcán Barú) เป็นสถานที่ที่สูงที่สุดในประเทศปานามา ตั้งอยู่ที่จังหวัดไคริไคว์ (Chiriquí) ซึ่งเป็นสถานที่ในฝันของเหล่านักปีนเขาที่มีประสบการณ์สูง โดยจะได้สัมผัสกับหน้าผาอันสูงชัน และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงขณะไต่ขึ้นไปยอดเขา รับรองว่าเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว จะต้องถูกใจกับวิวทิวทัศน์แน่นอน
St. Paul de Vence (ซังก์ ปอล เดอ วองซ์) เป็นเมืองเล็กๆ ใกล้กับเมืองคานส์ ตั้งอยู่บนภูเขาหินทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ภายในเมืองเต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่เก๋ๆ เป็นเมืองที่เงียบสงบ สวยงาม เป็นที่นิยมแวะเวียนมาพักผ่อนของศิลปินจากแขนงต่างๆ ในการสร้างแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ สามารถใช้เวลาเดินเที่ยวเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงรอบเมือง พบกับบ้านเมืองสวยๆ จนต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปแทบทุกมุม
ภาพจาก www.saint-pauldevence.com
แคปพาโดเชีย (Cappadocia) อยู่ในภูมิภาคตอนกลางของประเทศตุรกี จังหวัดเนฟชีร์ “แคปพาโดเชีย” เป็นชื่อที่ปรากฏมาในประวัติศาสตร์ของคริสต์ศาสนา เป็นที่น่าสนใจแก่นักท่องเที่ยว มีความน่าตื่นตาตื่นใจทางธรรมชาติ โดยเฉพาะภูมิสัณฐานที่มีลักษณะเป็นแท่งๆ คล้ายปล่องไฟ หรือ เห็ด และประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคอานาโตเลีย ในสมัยของเฮโรโดทัส
กิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ที่ต้องทำเมื่อมาเที่ยว Cappadocia ก็คือ การขึ้นบอลลูน (Hot Air Balloon) ชมความสวยงามของภูมิประเทศโดยรอบบริเวณของ Cappadocia (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ) และการขี่รถ ATV รอบภูเขา
อุทยานแห่งชาติย่าติง ตั้งอยู่ที่เมืองเต้าเฉิง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ช่วงพีคของปีที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ยอดเขาสีขาวที่มีหิมะปกคลุม แสงแดดอันอบอุ่น กับวันที่ฟ้าเปิด
สถานที่นี้ถูกค้นพบ ในปี 1928 โดยผู้เผยแพร่ศาสนาชาวอเมริกานาม “ลุค” ซึ่งออกเดินทางออกจากเมืองลี่เจียง เข้าสู่มณฑลเสฉวน ผ่านเมืองมู่หลี่ จนพบ “เต้าเฉิงย่าติง” แล้วได้นำภาพถ่ายตีพิมลงใน นิตยสาร Nation Geographic หลังจากนั้นได้ทำให้ชาวโลกตื่นเต้นกับการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้ สหประชาชาติได้ส่งคนลงสำรวจสถานที่แห่งนี้เพื่อทำการรับรองและอนุรักษ์
ภายในอุทยานแห่งชาติย่าติงมีจุดที่สำคัญหลายจุดที่ไม่ควรพลาด
อ่านบทความ 7 จุดสุดฟิน! ดินแดนสวรรค์ ย่าติง
ดื่มด่ำไปกับโลกเวทมนตร์ ที่ Warner Bros. Studio London: The Making of Harry Potter สถานที่ถ่ายทำภายยนตร์เรื่อง Harry Potter ไปดูป่าต้องห้าม (Forbidden Forest) ห้องโถงฮอกวอตส์ (Great Hall) และตรอกไดแอกอน (Diagon Alley) ดูสถานที่เกิดเหตุของเรื่องที่ถนนไพรเวทไดรฟ์ (Privet Drive) ขึ้นรถไฟสายด่วนฮอกวอตส์ (Hogwarts Express) ณ ชานชาลาที่ 9¾ เรียนรู้วิธีการสร้างและถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแฮรี่พอตเตอร์ (Harry Potter) จากส่วนนิทรรศการ วิธีการสร้าง special effect ต่างๆ และชมของประกอบฉากและชุดที่ใช้ในภาพยนตร์
อ่านบทความ 5 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเข้าสู่โลกเวทมนตร์